วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Icloud คืออะไร ???


iCloud นั้น เป็นบริการของทาง Apple ที่เปิดให้บริการพื้นที่กลาง สำหรับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยความจริงแล้ว iCloud ก็คือระบบศูนย์กลาง การเก็บข้อมูล ซึ่งเขาเปรียบเทียบกับกลุ่มเมฆ จึงใช้ชื่อว่า iCloud โดยหน้าที่หลักๆ ของ iCloud ก็ใช้สำหรับเป็นตัวกลางในการเก็บข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ Apple ที่มี Apple ID เป็นของตัวเอง โดย 1 ID นั้น สามารถเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์ของ Apple ได้ทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, iPod Touch และแม้แต่ Macbook Pro และ Macbook Air ก็ยังได้



โดยถ้าดูจากภาพแล้ว จะเห็นว่า iCloud จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูลต่างๆ
จากผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่คุณมี หรือจะเป็นข้อมูลทางฝั่ง PC ก็สามารถเก็บขึ้นไปบน iCloud ได้ ถ้ากรณีที่ผู้ใช้งาน เชื่อมต่อ Apple ID เอาไว้กับโปรแกรมอื่นๆ เช่น iTunes ในกรณีที่ผู้ใช้ซื้อ Application หรือ เพลง จาก iTunes ข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกส่งเข้าไปยังเครื่องอื่นๆ ที่ใช้ Apple ID เดียวกันทันที ทำให้ไม่ต้องเสียเวลามาโอนถ่ายข้อมูล เป็นต้น

 


พื้นที่ในการเก็บข้อมูลต่างๆ บน iCloud
    ปกตินั้น Apple จะให้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลบน iCloud กับผู้ใช้ Apple ID คนละ 5GB ซึ่งผู้ใช้ สามารถซื้อเนื้อที่เพิ่มเติมได้อีกหลายระดับ โดยแบ่งเป็น
  • 10GB ในราคา $20/ปี รวมได้พื้นที่ทั้งหมด 15GB
  • 20GB ในราคา $40/ปี รวมได้พื้นที่ทั้งหมด 25GB
  • 50GB ในราคา $100/ปี รวมได้พื้นที่ทั้งหมด 55GB
 
ข้อมูลที่สามารถเก็บไว้บน iCloud ได้
ในกรณีที่ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple และมี Apple ID เป็นของตัวเองแล้ว ผู้ใช้สามารถเก็บข้อมูลต่างๆ ขึ้นไปไว้บน iCoud ได้ โดยแบ่งออกเป็น
  • ข้อมูลอีเมลล์
  • ข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อในเครื่อง เช่น รายชื่อ เบอร์โทรศัพท์
  • ข้อมูลที่จดเอาไว้ใน Reminders
  • ข้อมูลปฏิทิน
  • ข้อมูลที่สร้างเอาไว้ใน Notes
  • ข้อมูลไฟล์เอกสารที่อยู่ในบาง App ก็สามารถอัพขึ้นไปเซฟได้
  • ไฟล์รูปภาพต่างๆ ที่มีในเครื่อง สามารถเก็บได้ผ่านการตั้ง Photo Stream
  • เซฟเกม ซึ่งอาจเก็บได้เฉพาะเกมที่รองรับ
  • ข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์บน Safari
  • และอื่นๆ ที่จะรองรับในอนาคต


หลักการใช้งาน iCloud



นึกภาพง่ายๆ ว่า ในกรณีผู้ที่ใช้งาน iPhone เมื่อถ่ายภาพจาก iPhone แล้ว รูปภาพจะถูกเซฟเข้าสู่เครื่อง iPhone ในทันที และถ้าเกิดตั้งค่าให้เครื่องเก็บไฟล์ภาพขึ้นไปบน iCloud ด้วย iPhone ของเรา ก็จะทำการส่งไฟล์ภาพนั้น (จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต) ขึ้นไปไว้บน iCloud ที่เป็น ID ของเราทันที ทีนี้ถ้ากรณีที่ผู้ใช้มีเครื่อง Macbook Air อยู่อีกเครื่อง ก็จะสามารถเปิดดูรูปภาพที่เพิ่งถ่าย และนำมาใช้งานได้เลยทันที ผ่าน iCloud โดยไม่ต้องทำการเชื่อมต่อ iPhone กับ Macbook Air หรือทำการโอนย้ายไฟล์แต่อย่างใด หลักการนี้ ก็ใช้เหมือนกัน กับกรณีที่เซฟข้อมูลอื่นๆ บน iCloud เช่น เบอร์โทรศัพท์ ในกรณีที่ผู้ใช้ได้เพิ่มเติมหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ รูปภาพ E-mail และข้อมูลของบุคคลใหม่เข้าไปใน iPhone ข้อมูลเหล่านั้น ก็จะถูกส่งต่อไปยัง iCloud และสามารถเปิดดูจากอุปกรณ์ Apple ชิ้นอื่นๆ ได้ทันที ช่วยประหยัดเวลา และความยุ่งยากในการแก้ไขข้อมูลได้มากทีเดียว
การใช้งาน iCloud บนเว็บไซต์
นอกจากเราจะใช้งาน iCloud บนอุปกรณ์มือถือต่างๆ เช่น iPhone, iPad และ iPod Touch ได้แล้ว เรายังสามารถใช้งาน iCloud บนเว็บไซต์ได้ด้วย ซึ่งถือว่าสะดวก และยังมีประโยชน์ในหลายๆ กรณี เช่น การใช้งาน App ค้าหาอุปกรณ์ Apple อย่าง Find My iPhone อีกด้วย
การเข้าใช้งาน iCloud บนเว็บไซต์นั้น ให้ผู้ใช้เข้าไปที่ www.icloud.com จากนั้นให้ ทำการใส่ Apple ID และ Password ส่วนตัวของเราเลย
เมื่อเข้ามาในหน้าใช้งานบริการ iCloud แล้ว จะมี App ต่างๆ แยกออกเป็น
Mail
  • Contacts
  • Calendar
  • Notes
  • Reminders
  • Find My iPhone
  • iWork
ซึ่งการใช้งานข้อมูลต่างๆ นั้น จะเหมือนกับข้อมูลที่อยู่บนอุปกรณ์ Apple ที่เราได้ทำการเชื่อมต่อกับ iCloud ผูกกับ Apple ID ของผู้ใช้เลย ถ้าหากทำการแก้ไขข้อมูล ถ้าอุปกรณ์อื่นๆ ได้มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ข้อมูลเหล่านั้นก็จะถูกอัพเดทให้เหมือนกันทันที การใช้งาน iCloud นั้น ก็จะสะดวกสำหรับใครที่ไม่ถนัดใช้งานบน iPhone หรือ iPad รวมถึงการแก้ไขข้อมูลเยอะๆ เช่น ใส่ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์เยอะๆ รายละเอียดอีเมลล์ และอื่นๆ การใช้งาน iCloud บนเว็บไซต์ ดูจะสะดวกกว่ากันเยอะ

ตามหาอุปกรณ์ Apple ของเรากันเถอะ!
มาถึงส่วนที่สำคัญที่สุดในการใช้ iCloudกันดีกว่า นั้นก็คือส่วนที่เรียกว่า Find My iPhone ซึ่งเอาไว้สำหรับค้นหาอุปกรณ์ iPhone/iPadเวลาที่เราต้องการตรวจสอบว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ อยู่ที่ใดบนโลกนี้ มีประโยชน์สำหรับกรณีที่เราทำอุปกรณ์ Apple หาย หรือหาไม่เจอนั่นเอง
  1. เข้าไปที่อุปกรณ์ที่เราต้องการเปิดระบบ Find My iPhone (จริงๆใช้ค้นหา Device ของ Apple ได้หลากหลายอย่าง Macbook Air ก็ใช้หาได้) ยกตัวอย่างเช่น iPhone ให้เข้าไปที่คำสั่ง Settings >iCloud> Find My iPhone แล้วเปิด On
  2. จากนั้นเข้าไปที่www.icloud.comและคลิ๊กไปที่ Find My iPhone จากนั้นจะมีหน้าต่าง Find My iPhone ขึ้นมาใหม่ ให้ผู้ใช้ทำการใส่ Password ของ Apple ID ของตัวเอง



  3. เลือกที่มุมซ้ายบน ตรงคำว่า Devices จะมีให้เลือกว่า อุปกรณ์อะไรบ้างที่เราใช้อยู่ ในตัวอย่างจะเลือกที่ iPhone


  4. จากนั้นจะขึ้นแผนที่บนหน้าจอ และมีจุดสีเขียว นั่นคือจุดที่อุปกรณ์ที่เราต้องการหาว่าอยู่บริเวณใดบนโลกนี้
  5. ทางมุมซ้ายบนจะมีให้เลือก + กับ - เพื่อซูมดูลงไปได้ลึกอีก ว่าเครื่องอยู่ที่เขตใด ซอยใด
  6. จากนั้นให้คลิกที่จุดสีเขียวบนแผนที่ แล้วคลิกที่ iก็จะมีคำสั่งอื่นๆ เพิ่มขึ้นมา


  • Play Sound คำสั่งนี้ จะเป็นการสั่งให้เครื่องของผู้ใช้ ทำการส่งเสียงดังขึ้นมา และส่งอีเมลล์รายงานว่าเรากำลังค้นหาอุปกรณ์ของเรา
  • Lost Mode คำสั่งนี้จะเป็นการ แจ้งว่าอุปกรณ์ของเราหาย เมื่อเราคลิ๊กที่ Lost Mode จะมีหน้าต่างให้ใส่หมายเลขโทรศัพท์ เพื่อส่งไปที่เครื่องที่เราตามหา ให้โทรกลับ และทำการล็อคเครื่องทันที เบอร์โทรศัพท์นั้น ควรจะต้องเป็นเบอร์อื่น ที่ผู้ใช้ สามารถรับสายได้ทันที แค่นี้ข้อความ และ หมายเลขโทรศัพท์ก็จะถูกส่งไปที่เครื่องที่เราตามหา กรณีที่ผู้อื่นต้องการเปิดใช้งานเครื่อง เขาจะต้องใส่รหัส 4 ตัวก่อนเพื่อเข้าใช้งาน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ นอกจากทำการนำเครื่องไปล้างข้อมูลเท่านั้น
  • Erase iPhone คำสั่งนี้ จะเป็นคำสั่งลบข้อมูลภายในเครื่องที่ผู้ใช้ทำหาย ในกรณีที่มีข้อมูลสำคัญ ที่ไม่อยากให้ผู้อื่นได้ไป ก็ให้ใช้คำสั่ง Erase นี้ จากนั้นเมื่อเครื่องถูกเปิดใช้งาน และมีการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ตัวเครื่องจะทำการลบข้อมูลในทันที
ขั้นต้นเมื่อทำอุปกรณ์ Apple หาย
    หลังจากที่เราได้ติดตั้ง และเปิดใช้งาน Find My iPhone ให้กับอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว ลองทดสอบด้วยตัวเอง ว่าสามารถใช้งานได้หรือไม่ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่อุปกรณ์ต่างๆ ของเราหายไป ให้ทำตามลำดับนี้

  1. เปิด Find My iPhone ผ่านเว็บไซต์ www.icloud.com
  2. เลือกเมนู Lost Mode เพื่อแจ้งผู้ที่เก็บได้ ให้โทรกลับหาเจ้าของ และตัวเครื่องจะทำการล็อคเครื่องให้โดยอัตโนมัติ แค่นี้คนที่เก็บเครื่องได้ ก็จะไม่สามารถทำอะไรกับเครื่องได้ จนกว่าจะเปิดเครื่องอีกครั้ง หลังจากนั้น จะมีเมลล์แจ้งมาที่เจ้าของ เพื่อแจ้งว่าอุปกรณ์นั้นๆ ได้อยู่ที่ใด
  3. จากนั้นให้แจ้งเจ้าหน้าที่ หรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ดำเนินการติดตามเครื่องกลับคืนมา เช่น ตรวจสอบสถานะจากฝั่งผู้ให้บริการที่เราใช้หมายเลขของเขาอยู่ ให้ทำการตรวจสอบสัญญาณ
สิ่งที่จำเป็นในการทำให้ค้นหาอุปกรณ์ Apple ได้

  • จำเป็นต้องมีสัญญาณอินเตอร์เน็ต
  • เครื่องต้องเปิดอยู่ และมีแบตเพียงพอ
  • เปิดใช้งาน Find My iPhone อยู่
  • เปิดใช้งาน Location Service อยู่ด้วย
ทั้งนี้การใช้งาน Find My iPhone ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ผู้ใช้ จะได้รับเครื่องคืนแน่นอน เพราะมีปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง ที่ทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ หรือถึงแม้จะรู้ว่าเครื่องอยู่ที่ใด ก็อาจจะไม่สามารถตามหามาคืนได้ เพราะฉะนั้น ควรจะดูแลรักษาและระวังของๆ เราให้ดีที่สุดไว้ก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น